เพลงนอกกระแส ในไทย ยุค 2011
เพลงนอกกระแสในยุค 2011 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการนำทำเพลงที่มีความสะดวกกว่ายุคก่อนๆมา เพราะในยุคที่ computer ได้มีบทบาทในการทำทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างมากในสังคมของมนุษย์ในวันนี้ จึงทำให้สื่อ media ในยุคก่อนๆไม่ว่าจะเป็น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ที่เคยมีอิทธิพลต่อมนุษย์ได้ ลดหย่อนไปกลายเป็นสื่อใหม่ที่เรียกกันในชื่อ social media
social media อย่าง facebook ได้เริ่มมีบทบาทต่อมนุษย์ เริ่มในปี2004 ซึ่งในยุคนั้น เห็นจะเป็นhi5 ที่มีบทบาทต่อเด็กไทยมากกว่า facebook ซะอีก แต่เวลาไม่นาน facebook เริ่มติดปากคนใช้มากกว่า hi5 ไปแล้ว ซึ่งถือเป็นผลดี ต่อการโปรโมท เพลงนอกกระแสซึ่งไม่จำเป็นต้องวิ่งเข้าไปหา สถานีวิทยุ อีกแล้วการโปรโมทใน สื่อ social network ทำให้ศิลปินกับกลุ่มผู้ฟังเข้าถึงกันได้อย่างรวดเร็ว ดูเหมือนกลุ่มผู้ฟังกับตัวศิลปินเป็นเพื่อนที่สนิทกัน จึงทำให้ความสัมพันธ์ ของทั้งสองฝ่าย แน่นกว่าสื่อในยุคก่อน จึงเกิดเป็นเหมือนลัทธิย่อมๆ ขึ้นมา ซึ่งนั่นถือว่าเป็นนิมิตรหมายอันดี กับผู้ที่เริ่มจะทำงานอันซึ่งเป็นอัตลักษณ์ในตัวของตัวเองโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีต้นทุนที่เป็น "เงิน" มากมายในการที่จะแสดงผลงานออกสู่สายตาประชาชน
บทความนี้ผมเขียนขึ้นเองจากความคิดของผม ซึ่งอาจจะมีข้อมูลความเป็นจริงเป็นเท็จมากน้อยแค่ไหนก็ ขออภัย มา ณ ที่นี้ด้วย
วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554
วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554
น้องอ๊อด
ถึงแม้จะนำเพลงมาให้ฟัง หากไม่รู้จัก ไม่เห็นคุณค่า ไม่สนใจฟัง ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น แต่สำหรับ "น้องอ๊อด" ที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ที่ขอนแก่น ใช้เวลาว่างท่องเวบไซต์อินเตอร์เนตมากมาย 1 สัปดาห์ก่อนถึงวันแม่ เขาได้รับการบ้านให้เขียนเกี่ยวกับความรักต่อแม่ เพื่อนหลายคนเลือกเพลงเกี่ยวกับแม่ของศิลปินนักร้องชื่อดังหลายคนมาใช้ในการ เขียนเพื่อส่งการบ้าน แต่น้องอ๊อดไม่ค่อยชอบเพลงในกระแส เบื่อเพลงที่ถูกยัดเยียดให้ฟังซ้ำไปซ้ำมา เขาอยากมีโอกาสได้เลือกฟังเพลงด้วยตัวเอง ไม่ต้องถูกใครยัดเยียด ถูกเปิดเพลงกรอกหูทุกๆวัน
วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554
จากคำพูดของ สุชาดี มณีวงศ์ (กระจกหกด้าน)
“สารคดีที่ดีจริง ๆ เขาไม่เล่นเอฟเฟ็กต์ ไม่เล่นความหวือหวาเลย เขาจะแพน (กวาดกล้อง) ไปแพนมา ดิสโซฟ คัต ธรรมดา ๆ เหมือนเรา พูดกันง่าย ๆ ว่า สารคดีดี ๆ ไม่ว่าจะเป็นเนชั่นแนลจีโอกราฟิก ดิสคัฟเวอรี หรือกระจกหกด้าน ลักษณะของการผลิตคล้ายกัน คือใช้กึ๋นคนมากกว่าใช้เทคโนโลยี"
“เราไม่ได้จบนิเทศศาสตร์ ไม่ได้จบวารสารศาสตร์ แต่เราอยากทำสารคดีให้สนุก เราอยากดูอะไร เราอยากได้รับอะไร เราควรจะให้คนดูอย่างนั้น"
"ข้อสำคัญ สารคดีนั้น ๆ จะต้องประกอบด้วยข้อมูลที่เป็นความจริง ซึ่ง ๙๙.๙๙ เปอร์เซ็นต์-อย่านั่งเทียนเขียน สารคดีนั้น ๆ-อย่าใส่ความเห็นส่วนตัว อยากให้คนทำสารคดี หนึ่ง อยู่บนข้อเท็จจริง สอง อย่าออกความเห็น สาม ถ้าให้ความรู้ได้-ให้ไปเลย"
“เราไม่ได้จบนิเทศศาสตร์ ไม่ได้จบวารสารศาสตร์ แต่เราอยากทำสารคดีให้สนุก เราอยากดูอะไร เราอยากได้รับอะไร เราควรจะให้คนดูอย่างนั้น"
"ข้อสำคัญ สารคดีนั้น ๆ จะต้องประกอบด้วยข้อมูลที่เป็นความจริง ซึ่ง ๙๙.๙๙ เปอร์เซ็นต์-อย่านั่งเทียนเขียน สารคดีนั้น ๆ-อย่าใส่ความเห็นส่วนตัว อยากให้คนทำสารคดี หนึ่ง อยู่บนข้อเท็จจริง สอง อย่าออกความเห็น สาม ถ้าให้ความรู้ได้-ให้ไปเลย"
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)